วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

โครงสร้างพื้นฐานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว

แนวโน้มของแรงจูงใจของนักท่องเที่ยว
1. แรงจูงใจที่จะได้สัมผัสสิ่งแวดล้อม
2. แรงจูงใจที่จะได้พบปะกับคนในท้องถิ่น
3. แรงจูงใจที่จะที่จะเข้าใจวัฒนธรรมท้องถิ่นและประเทศเจ้าบ้าน
4. แรงจูงใจที่จะเสริมสร้างสัมพันธภาพภายในครอบรัว
5. แรงจูงใจที่จะได้พักผ่อนในสภาพแวดล้อมที่น่าสบาย
6. แรงจูงใจที่จะที่จะได้ทำกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวสนใจและฝึกทักษะ
7. แรงจูงใจที่จะมีสุขภาพดี
8. แรงจูงใจที่จะได้รับการคุ้มกันความปลอดภัย
9. แรงจูงใจที่จะได้รับการยอมรับนับถือและได้รับสถานภาพทางสังคม
10. แรงจูงใจที่จะให้รางวัลแก่ตัวเอง
โครงสร้างพื้นฐานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
“โครงสร้างพื้นฐานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว” หมายถึง องศ์ประกอบพื้นฐานในการรองรับการท่องเที่ยวทั้งระบบถือเป็นส่วนการสนับสนุนให้การท่องเที่ยวสามารถดำเนินไปได้ด้วยดี และ ทำให้เกิดความสะดวกรวดเร็วในการดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว
โครงสร้างพื้นฐานหลัก ๆ ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ได้แก่
1. ระบบไฟฟ้า
2. ระบบประปา
3. ระบบสือสารโทรคมนาคม
4. ระบบการขนส่ง(ประกอบไปด้วย)
(4.1) ระบบการเดินทางอากาศ
(4.2) ระบบการเดินทางทางบก
(4.3) ระบบการเดินทางทางน้ำ
5. ระบบสาธารณสุข
ปัจจัยที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวในแต่ละภูมิภาค
สภาพแวดล้อม ลักษณะ ทางวัฒนธรรม ที่มนุษย์มักต้องการเดินทางท่องเที่ยวไปยังบริเวณต่าง ๆ ที่มีสภาพแวดล้อมแตกต่างไปจากที่ตนเองอาศัยอยู่ ส่งผลให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวไปยังบริเวณ ๆ บนผิวโลก
1. ปัจจัยทางภูมิศาสตร์
เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และเป็นปัจจัยที่สำคัญในการสร้างสรรค์ภูมิทัศน์ที่เป็นสิ่งดึงดูดใจทางการท่องเที่ยวได้เป็นอย่สงมาก
1.1 ลักษณะภูมิประเทศ
การเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกมีได้ 2 ลักษณะ คือ
1) การเปลี่ยนแปลงจากภายในเปลือกโลก เช่น ภูเขาหรือภูเขาไฟ ซึ่งเกิดจากการตันตัวของความร้อนใต้ผิวโลก
2) การเปลี่ยนแปลงทางบริเวณผิวโลก เช่น เนินทราย (Sand Dune) ในทะเลทรายซึ่งเกิดจากลมที่พัดนำทรายมากองรวมกันเป็นเนิน
1.2 ลักษณะภูมิอากาศ
เช่นเดียวกับลักษณะภูมิประเทศ กล่าวคือ พื้นที่ที่ตั้งอยู่แตกต่างกันเมื่อพิจารณาตามส้นแลตติจูด (latitude) เช่นซีกโลกเหนือกับลบริเรณเส้นแบ่งกลางโลกหรือเส้นศูนย์สูตรจะมีสภาพภูมิอากาศแตกต่างกัน เช่นในช่วงเดือนธันวาคม ซีกโลกเหนือเช่นประเทศฟินแนด์เป็นฤดูหนาวที่หวานจัด
2. ปัจจัยทางวัฒนธรรม
วัฒนธรรม หมายถึง วิถีการดำเนินชีวิตของคนในสังคม นับตั้งแต่วิธีกิน วิธีอยู่ วิธี แต่งกาย วิธีทำงาน วิธีพักผ่อน วิธีแสดงอารมณ์ วิธีสื่อความ วิธีจรจรและขนส่ง วิธีอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะ และความสุขทางใจ โดยแนวทางการแสดงออกถึงวิถีชีวิตนั้นอาจเริ่มมาจาก เอกชนหรือบุคคลทำเป็นตัวแบบ แล้วคนส่วนใหญ่ก็ปฏิบัติต่อกันมา วัฒนธรรมย่อมเปลี่ยนแปลง ไปตามเงื่อนไขและกาลเวลาเมื่อค้นพบสิ่งใหม่ วิธีใหม่ที่ใช้แก้ปัญหาและตอบสนองความต้องการของสังคมได้ดีกว่า
การอนุรักษ์วัฒนธรรมดังเดิมของแต่ละชาติเปลี่ยนแปลงได้ และแต่ละชาติมีวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน การที่วัฒนธรรมแตกต่างกันย่อมเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจให้กับคนต่างวัฒนธรรมเขามาเที่ยวชมความแตกต่างดังกล่าว

วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

หลักฐานของปิ่นโต

ประวัติของปิ่นโตบันทึกความทรงจำของแฟร์เนา เมนเดซ ปินโต( Fernão Mendez Pinto ค.ศ.1509-1583) เรื่อง “Pérégrinação”ถูกตีพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกในปีค.ศ.1614 เป็นเรื่องเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม ภูมิประเทศ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี และเหตุการณ์บ้านเมืองต่างๆ รวมทั้งอัตชีวประวัติของเขาอย่างน่าตื่นเต้นและเหลือเชื่อ จนมีการใช้ชื่อของปินโตเล่นคำเชิงล้อเลียนว่าพูดจริงหรือเท็จอย่างสนุกสนานโดยชนชาติศัตรูของโปรตุเกสในยุโรปหรือแม้แต่ชาวโปรตุเกสบางคน บันทึกของปินโตถูกอ้างอิงจากนักประวัติศาสตร์ไทยอย่างกว้างขวางนับตั้งแต่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพมาจนปัจจุบันเมื่อกล่าวถึงบทบาทของทหารรักษาพระองค์ชาวโปรตุเกส และการพระราชทานที่ดินให้พวกเขาตั้งถิ่นฐานและปฏิบัติศาสนพิธีในสมัยอยุธยา จึงเป็นที่มาของการตรวจสอบว่าหนังสือฉบับนี้มีสถานะเป็นหลักฐานประวัติศาสตร์นิพนธ์หรือเป็นเพียงนิยายผจญภัยปินโตเป็นชาวเมืองมองเตอมูร์ในราชอาณาจักรโปรตุเกส เกิดในครอบครัวยากจน การผจญภัยของปินโตเริ่มขึ้นเมื่อเดินทางไปถึงเมืองดิว ในประเทษอินเดีย ค.ศ.1538 ขณะมีอายุได้ 28 ปี แล้วเดินทางกลับมาตุภูมิเมื่อวันที่ 22 กันยายน ค.ศ.1558 รวมระยะเวลา 21 ปี ที่ปินโตได้ไปแสวงโชคในเอเชีย ปินโตเผชิญปัญหาเรืออับปาง 5 ครั้ง ถูกขาย 16 ครั้งและถูกจับเป็นทาส 13 ครั้ง ชีวิตของปินโตในขณะอยู่ในเอเชีย เขาเคยเป็นทั้งกลาสีเรือ ทหาร พ่อค้า ทูตและนักสอนภาษา เมื่อเดินทางกลับถึงโปตุเกส เขาพยามติดต่อขอรับพระราชทานบำเหน็จรางวัล จากการที่เขาได้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาติและศาสนา แต่กลับไม่ได้รับความสนใจ ปินโตจึงไปใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองปรากัลป์ทางตอนใต้ของโปรตุเกส และได้เขียนหนังสือชื่อว่า Pérégrinaçãoขึ้นปินโตเคยเดินทางเข้าสยาม 2 ครั้ง ครั้งแรกเข้ามาในปัตตานีและนครศรีธรรมราช ครั้งที่ 2 เข้ามายังกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระชัยราชาธิราช หลังจากปินโตถึงแก่กรรม บุตรีของเขาได้มอบต้นฉบับหนังสือเรื่อง Pérégrinação ให้แก่นักบวชสำนักหนึ่งแห่งกรุงลิสบอน จนกษัตริย์ฟิลิปที่ 1 ทรงได้ทอดพระเนตร บุตรีของปินโตจึงได้รับพระราชทานบำเหน็จรางวัลแทนบิดา งานเขียนของปินโตตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ.1614 และแปลเป็นภาษาต่างๆ เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ใน ค.ศ.1983 กรมศิลปากรได้เผยแพร่บันทึกของปินโตบางส่วนในชื่อ "การท่องเที่ยวผจญภัยของแฟร์นัง มังเดซ ปินโต ค.ศ.1537-1558" แปลโดยสันต์ ท.โกมลบุตร ต่อมากรมศิลปากรร่วมกับกรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ตีพิมพ์ผลงานบางส่วนของเขาออกเผยแพร่อีกครั้งใน ค.ศ.1988 โดยแปลจากหนังสือชื่อ "Thailand and Portugal:470 Years of Friendship".งานเขียนของปินโตถูกนำเสนอในรูปแบบของร้อยแก้ว บางตอนก็ระบุว่าเรื่องที่ได้ยินได้ฟังมาจากคำบอกเล่าและการสอบถามผู้รู้ บางตอนก็ประสบด้วยตนเอง ปินโตระบุว่า การเล่าเรื่องการเดินทางของเขามีจุดมุ่งหมายเพื่อให้มีการเรียนรู้สภาพภูมิศาสตร์ของโลก ไม่ใช่ประสงค์จะก่อให้เกิดความท้อถอยในการติดต่อกับดินแดนแถบเอเชีย ส่วนเฮนรี โคแกน ระบุว่าจุดมุ่งหมายในการแปลหนังสือ "Pérégrinação"จากภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาอังกฤษ คือ ต้องการให้ผู้อ่านทั่วไปเกิดความพึงพอใจ จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของปินโตและโคแกนสะท้อนให้เห็นคุณค่าของเหตุการณสถานที่ ทรัพยากร อารมณ์ ความรู้สึกและวัฒนธรรมอันหลากหลายของผู้คนที่ปรากฎในหนังสือ "Pérégrinação" อย่างไม่อาจมองข้ามได้ งานของปินโตจึงได้รับการอ้างอิงอย่างกว้างขวาง บันทึกของปินโตนับเป็นเอกสารสำคัญที่กล่าวถึงเรื่องราวส่วนหนึ่งเกี่ยวกับทรัพยากร การทหาร วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ กฎหมายและเรื่องราวในราชสำนักสยามกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 และมักจะถูกอ้างอิงเสมอเมื่อกล่าวถึงบทบาททางการทหารของชุมชนโปรตุเกสเมื่อเกิดศึกระหว่างสยามกับเชียงใหม่ การเข้าร่วมรบในกองทัพสยามครั้งนั้นเป็นการถูกเกณฑ์ ชาวโปรตุเกสถึง 120 คน จากจำนวน 130 คน อาสาเข้าร่วมรบในกองทัพสยาม เหตุการณ์ดังกล่าวถูกบันทึกไว้ในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาว่าเป็นศึกเมืองเชียงกรานซึ่งเกิดขึ้นในค.ศ.1538 เรื่องราวในหนังสือ Pérégrinação สอดคล้องกับงานเขียนของนักประวัติศาสตร์ชาวโปรตุเกสหลายคน ซึ่งเคยถูกจองจำและรับราชการเป็นนายทหารในกรุงศรีอยุธยาบทบาทของทหารอาสาชาวโปรตุเกสในสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราชอาจส่งผลให้มีการเริ่มปรับปรุงตำราพิชัยสงครามภายใต้การช่วยเหลือของที่ปรึกษาชาวโปรตุเกสจนเป็นที่มาของการตั้ง "กรมทหารฝารั่งแม่นปืน" หนังสือของปินโตถูกตีพิมพ์เผยแพร่อย่างกว้างขวางในยุโรปจึงเป็นเหตุให้เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง ดับเบิลยู.เอ.อาร์.วูด ชี้ว่าควรจะอ่านงานเขียนของปินโตในฐานะที่เป็นเรื่องราวของชายชราที่ได้เดินทางกลับไปสู่มาตุภูมิอีกครั้งหนึ่งเพื่อความบันเทิงไม่ใช่เป็นหลักฐานประวัติศาสตร์ที่เขียนขึ้นวันต่อวันและตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความแม่นยำของปีศักราชในบันทึกด้วย แต่ ดึ กัมปุช อดีตกงสุลใหญ่โปรตุเกสกลับชี้ว่าหลักฐานของปินโตแสดงให้เห็นว่าเขาเคยเดินทางเข้ามายังสยามจริง นักประวัติศาสตร์ไทยหลายคนเลือกใช้ข้อมูลของปินโตมาอ้างอิงโดยตลอดเช่น พระเจ้าบุเรงนองนำเอาเรื่องการขอช้างเผือกมาเป็นสาเหตุของสงครามระหว่างสยามกับพม่าใน ค.ศ.1569 เป็นต้นหนังสือ "Pérégrinação" ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสยามน้อยมาก ซึ่งอาจจะอธิบายได้ว่าศูนย์กลางของโปรตุเกสในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งอยู่ที่มะละกาปินโตจึงให้ความสำคัญมากกว่ากรุงศรีอยุธยา การที่เขามีฐานะเป็นเพียงกลาสีเรือ,นักผจญภัย ไม่ใช่พ่อค้าหรือนายทหารที่ถูกส่งเข้ามาติดต่อกับสยามโดยตรง ทำให้เนื้อหาส่วนใหญ่ในหนังสือของเขาเน้นกล่าวถึงสถานที่ต่างๆตามชายฝั่งมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิกที่เขาเคยเดินทางไปถึงมากกว่า

วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

อดีตกาลมักหวนกลับมาสู่ความทรงจำของใคร หลาย ๆ คนเสมอ บางคนก็อมยิ้มไปกับเรื่องราวหรือความทรงจำสีจางดี ๆ ที่เคยพบเจอ และวันนี้กระปุกดอทคอมขอเอาใจคนที่อยากย้อนวันวานคืนสู่อดีตกาล และรักการท่องเที่ยว ไปเดินชิล ๆ กันที่ "ตลาดน้ำอโยธยา" ตลาดน้ำโบราณที่จะพาทุกคนกลับไปสัมผัสมนต์เสน่ห์ของวิถีชีวิตแบบไทย ๆ กันค่า ...

"ตลาด น้ำหมู่บ้านปางช้างอโยธยา" หรือที่หลายคนเรียกว่า "ตลาดน้ำอโยธยา" ตั้งอยู่บริเวณหมู่บ้านช้าง ใกล้ ๆ กับวัดมเหยงคณ์ ตำบลไผ่ลิง อำเภอพระนครศรีอยุธยา ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมรมากนัก ภายใน ตลาดน้ำอโยธยา โอมล้อมไปด้วยสายน้ำเย็นฉ่ำ รอบ ๆ บริเวณมีระเบียงริมน้ำให้นักท่องเที่ยวนั่งหย่อนขาสัมผัสสายน้ำให้ชื่นใจ
และสำหรับคนที่ชอบช้อปปิ้ง ก็อย่าลืมแวะเวียนเลือกซื้อเลือกหาสินค้าดีไซน์แปลก ๆ ที่หาซื้อไม่ได้ง่าย ๆ เพราะส่วนใหญ่จะขายไอเดีย เป็นประเภทงานแฮนด์เมคต่าง ๆ โดยจะมีพ่อค้าแม่ขายแต่งกายย้อนยุค นุ่งผ้าซิ่น คาดผ้าขาวม้า ใส่เสื้อหม้อฮ่อม คอยต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างอบอุ่นเป็นกันเอง